สอนให้ลูกรู้จักใช้ “ศีล” หลัก 5 อ. พ่อแม่สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

ปัจจุบันผู้ปกครองทั้งหลายมักทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อลูก
แต่จริง ๆ แล้ว ควรจะคิดต่อไปด้วยว่าลูกของเราจะสามารถอยู่ได้อย่างไร ?

สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับพ่อแม่คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก นั่นคือสอนให้ลูกรู้เท่าทันกิเลส สอนให้ลูกรู้จักใช้ “ศีล” เป็นตัวกรองก่อนที่จะรับรู้ไปสู่จิตใต้สำนึก เพื่อให้ได้จิตที่บริสุทธิ์ แบบนี้จึงทำให้เกิดภูมิคุ้มกันและเป็นคนที่สมบูรณ์ที่สุด การเป็นยอดคนจริงควรจะมีลักษณะ ๕ อ ที่สำคัญดังต่อไปนี้

๑. อ่อนน้อม เพราะ ความอ่อนน้อมคือ การให้เกียรติ การให้ความเคารพ คนที่ยิ่งโตยิ่งต้องอ่อนน้อมมาก เช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ เขาแพ้สงคราม แต่เขากลับมายิ่งใหญ่ได้ เพราะเขามีความอ่อนน้อม

๒. อ่อนโยน เพราะความอ่อนโยน คือการสร้างความอบอุ่นให้เกิดขึ้นกับทุกสิ่งรอบตัว ทำได้เช่น การยิ้ม การยิ้มเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาถูกที่สุดแต่มีคุณค่าสูงที่สุดในโลก ดังนั้นฝึกให้ยิ้ม “สยามเมืองยิ้ม” แต่เดี๋ยวนี้ยิ้มมันหายเพราะเรามีแต่ความก้าวร้าว ความแข็งกร้าว

๓. อดทน เพราะความอดทนสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตจิตใจ เมื่ออะไรมากระทบในจิตจะได้ไม่เปรี้ยงปร้าง ยิ่งอดทนยิ่งมีสติ สติจะนิ่ง รับฟังอย่างเต็มที่แล้วค่อย ๆ กรองวิเคราะห์ ทำให้ไม่ตัดสินใจตามอารมณ์ แต่ตัดสินใจตามข้อมูลที่ถูกต้อง

๔. อาทร เป็น เครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่สำคัญที่สุด นำมาซึ่งความรัก ทำให้เกิดการให้ตามมา แต่เดี๋ยวนี้ความเอื้ออาทรมีน้อยเต็มที่

๕. อภัย การให้อภัยคือการให้โอกาสให้เขาเป็นคนดีที่สุด เพราะไม่มีใครทำถูกต้องตลอดชีวิต ถ้าให้อภัยชีวิตจึงจะมีความสุข

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ถือได้ว่าเป็นรากฐานของปัญญา แล้วปัญญาคืออะไร แตกต่างกับความรู้ตรงไหน? จินตนาการหรือปัญญานั้น ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าความรู้มากนัก เพราะความรู้มันคือการเลียนแบบ แต่ปัญญาเกิดจากกระบวนการคิด เกิดจากกระบวนการรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบด้านที่ตัดผ่านโสตสัมผัสทั้งห้า และ เมื่อเข้ามาแล้วมันจะประมวลบวกกับความรู้จากจิตใต้สำนึก ถ้าสิ่งไหนคิดว่าถูกจะบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก จากนั้นจะถูกตีความแล้วนำมาใช้ นั่นคือปัญญา

การเรียนการสอนที่ดีคือการพัฒนาศักยภาพในการใช้โสตทั้งห้า ให้เต็มประสิทธิภาพ ทำอย่างไรจึงจะใช้ให้เต็ม เช่น “ถ้าเด็กสังเกตอะไรอย่าอธิบาย เพราะเขาจะเห็นแต่สิ่งที่อธิบาย แต่รอบ ๆ มองไม่เห็น ถ้าเขาฟังอะไรอย่าสรุป เพราะเขาจะรู้แต่สิ่งที่เราสรุปให้ฟัง”

การประเมิน จึงต้องดูว่าเขาเห็นอะไร เข้าถึงหัวใจหรือยัง ถ้ายังก็ชวนสังเกตเพิ่ม เด็กบางคนเขียนหนังสือไม่ได้ แต่บอกได้ว่าทั้งโรงเรียนมีอะไร เห็นอะไร มีการเปลี่ยนแปลงอะไร การเขียนสวยกับการสื่อสารให้คนเข้าใจอะไรสำคัญกว่ากัน

การสร้างคนไม่ใช่ให้ความรู้ แต่เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ และทุกคนล้วนมีหน้าที่ร่วมกันในการให้ความรู้ เด็กอยู่โรงเรียน ๖ ชั่วโมง อีก ๑๘ ชั่วโมงอยู่ที่บ้าน แต่เด็กไม่หยุดการเรียนรู้ เด็กจึงเรียนรู้ที่บ้านมากกว่าที่โรงเรียน โรงเรียนช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ แต่นอกโรงเรียนให้เด็กเก็บเกี่ยวความรู้ ที่ถูกต้อง ที่มีศีล เพราะความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นมันจะตราไว้ภายในดวงจิต

จะเห็นได้ว่า เด็กมีชีวิตอยู่ที่บ้านมากมายแต่ลองสังเกตดูว่ากิจวัตรประจำวันของพ่อแม่สมัยนี้อยู่ที่บ้านกับลูกเป็นอย่างไร ชีวิตเราแต่ละวันเหมือนกับนักมายากล ที่มีลูกบอล 5 ลูก คือ ร่างกาย ครอบครัว การงาน เพื่อนฝูงสังคม และประเทศชาติ งาน เพื่อนฝูงสังคม และประเทศชาติ เปรียบได้กับลูกยาง ถึงตกอย่างไรก็สามารถกระเด็นกระดอนกลับมาได้ทุกครั้ง ร่างกาย และครอบครัว เปรียบได้กับลูกแก้ว ถ้าตกเพียงแค่ครั้งเดียวก็แตกไร้ราคา แล้วเราจะปล่อยให้ลูกแก้วที่มีค่าของเราตกลงมาหรือ…..เราอย่าห่วงลูกยางมากกว่าลูกแก้ว

Scroll to Top